ขอบคุณภาพจาก http://www.mcot.net/ (เขาไม่ให้ผมก็จะขอใช้)
ต้องยอมรับยุคนี้มันยุคของคนกล้าแสดงออก ไม่งั้นเดี๋ยวไม่เด่น เดี๋ยวไม่ดัง ไม่ดูดีในสายตาชาวบ้าน ไม่ดูแอ๊ปเป้ (เอ้ยแอ๊บแบ้ว) ใครหลายๆคนที่เฉียด หลง เผลอ เข้ามาอ่าน Blog หลายๆ คนคงด่าในใจว่า ไอ้ห่า ไอ้... และไอ้...ฯลฯ นี่แม่งขี้บ่น SHIFTผาย กี่เรื่อง ๆ แม่งบ่นหมด ก็ต้องยอมรับครับผมมันคนขี้บ่น ซึ่งอย่างที่บอกอีกหละครับ ผมไม่ใช่ผู้ดี หรือคนที่มีมารยาทแบบผ้าพับไว้ มิใช่ตระกูลผู้ดีเก่า ที่ต้องมีพี่เลี้ยง หรือเวลาจะเรียกต้องมีคำนำหน้าว่าคุณชาย หรืออย่างไร ดูตัวเอง ก็เป็นคนที่ทำตัวเสียมารยาทในสังคมซะด้วยในบางครั้ง แต่ไอ้ที่มาบ่น ๆ นี่บอกตามตรง ไม่เคยทำ และใครหลายๆคนเห็นผมตั้งหัวเรื่อง แล้วคงนึกในใจว่าเกี่ยวข้องอะไรกับ "ไทยแลนด์ก๊อตทาเลนท์" หรือป่าว!! ถ้ามีจะได้ลุ้น ๆ ให้ใันโดนฟ้ิอง ขออภัยที่ทำให้ท่านเสียใจครับ ไม่มีครับ ไม่เกี่ยวกันเลย ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องไม่มีใครที่ไปในรายการแล้วผมเอามาเอ่ยอ้าง เอหรือซือเจ๊แกจะไปมาหว่า!!!! ช่างแม้มเหอะ (เอว่าแต่เอามาใช้จะโดนไหมว่า ดีครับจะได้ดัง)...
อย่างที่เกริ่นไปยุคนี้สมัยนี้มันเป็นยุคของการแสดงออก ใครที่สามารถเอาจุดเด่นของตัวเองออกมาเสนอให้สังคมรับรู้ได้ และโดนก็มีสิทธิ์ดัง ก็ต้องยอมรับครับเป็นเรื่องที่ดี และน่าชื่นชม ตั้งแต่เด็กเล็กตัวน้อย ไล่ ไปถึง ผู้สูงอายุ ไม่แบ่ง เพศ ชนชั้น เชื้อชาติ ทุกครั้งที่ผมได้รู้ ได้ดู ได้สัมผัส ผมบอกตามตรงผมก็ชื่นชมและนับถือครับ แต่ไอ้ที่น่าเสียดายที่บางครั้งพอเวลาผ่านไปคนเหล่านั้นกลับทำตัวให้ตัวเองเสื่อมเสีย เช่น ตอนเด็กนี่น่ารัก เก่ง เต้นเก่ง แสดงหนังดี มากความสามารถก็ว่าได้ แบบว่า BRON TO BE แต่พอโตมาไอ้ชื่อเสียง เหล่านั้นกลับมาทำร้ายจิตใจตัวเองให้หลงระเริง ไปในทิศทางตรงกันข้าม ตอนเด็กที่ดูใสซื่อ บริสุทธิ์ พอโตมา เสียความ บริสุทธิ์(ทางจิตใจ) และ เสื่อมเสียชื่อเป็นว่าเล่น อันนี้ก็ต้องอยู่ที่ผู้ปกครองและตัวพวกเขาเองที่สามารถปรับตัวกับการตอบรับของสังคมได้ดีเพียงใด นั่นคงเป็นอีกด้านของการแสดงออกที่บิดเบี้ยว
เดี๋ยวจะนอกเรื่อง Mirror Mirror เป็นหนังที่ผมไปดูมาล่าสุด ดูก่อนเข้าโรงฉายจริง มิใช่ว่าได้รับเชิญเพราะเป็นคนดังหรอกนะครับ เล่นเกมส์ของUBCได้มา (เอ้า??เอาซะแก่เลยเดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนเป็น TRUEVISIONS แล้ว) ต้องขอบคุณด้วยนะครับที่มีกิจกรรมดีๆ นอกเรื่องจนได้ Mirror Mirror หรือ จอมโจรสโนไวท์ กับ ราชินีบานช่ำ เป็นหนังดัดแปลงใหม่ที่ดูแล้วเพลินดีแปลกดี ถ้าเล่าไปเดี๋ยวนอกเรื่องบานฉ่ำกันพอดี แล้วจะเข้าเรื่องยังไงหละครับ เอาดื้อ ๆ แบบนี้เลยดีกว่า ขณะที่หนังกำลังเริ่มฉาย โดยเนื้อเรื่องก็เป็นการเกริ่นบรรยายเหมือนเล่านิทานทั่วไป และตอนที่กำลังเล่ากล่าวถึงคำที่ว่า Beautiful ข้างหลังผมก็มีเสียงของเจ๊ คนหนึ่งซึ่งผมระบุวัย และ อายุสมองไม่ได้ ก็เกิดอาการ เทพประทับประหนึ่งว่าตัวเองเป็นคนพากษ์เสียงไทย หรือ อยากจะโชว์สำเนียงว่า ดิฉัน เก่ง ปะกิต เจ๊แกลา......ก เสียงสูงน่ารักแอ๊ปแบ็วว่า บิ๊ว......วตี้ฟูลลลลลลล ออกมาซะดัง(กรุณานึกและจินตนาการเสียงตามเองนะครับ) ประมาณมั่นใจว่าเสียงตัวเองน่ารักถ้าไปลงแข่งไทยแลนด์ก๊อตทาเลนท์ จะต้องชนะเลิศแน่ๆ เพราะว่าเริ่ด กว่าใครในปฐพี กำของกู(เป็นสิ่งที่ผมคิดในใจ) ผมไม่ใช่คนดีนะครับอย่างที่บอกไปแล้ว แต่นี่มัน เป็นโรงหนังครับ ที่สาธารณะ ไม่ใช่ห้อง Home Theater ที่บ้านเจ๊นะครับ เจ๊ลืมไรไปป่าว คนเต็มเลยแหกตาดูดิ (ผมก็แหกตาควานหาที่มาของเสียงครับ) และหันกลับมาคิดในใจสงสัยแม่งเป็นครอบครัวเดียวกับน้องคนนั้นบนรถเมล์มั้ง กูเงียบดีกว่า...... การศึกษา ตำแหน่งหน้าที่การงาน และฐานะทางบ้าน มิทำให้คนเรามีมารยาทเลย ซักนิด
ที่ผมหันไปมองเพื่อเจ้าของเสียงบิ๊วววว...ตี้ฟลูลลลล..จะน่ารักแบบนี้
ขอขอบคุณภาพจาก http://www.judzeed.com/ (ถึงไม่ให้ผมก็ขอแสดงออกว่ายืม)
ครับนี่หละนี่คือที่มาของหัวเรื่องของผมมันเป็นยุคของการแสดงออก แต่คนในสังคมบางคน บางกลุ่มแสดงออกมาแบบไม่มีมารยาท ซะงั้น (น้าเน็กขอยืมหน่อยนะคร๊าบบบบบ)
ทิ้งท้ายซักติ๊ด ใครยังไม่ได้ดูก็ลองดูนะครับ ฉากจบเล่นเอาฮาเหมือนกันนึกว่าดูหนังอินเดีย ที่นางเอกของเราร้องเพลงซะงั้นดีที่ไม่วิ่งข้ามภูเขา แต่ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ จะได้เจอเจ้าชายที่ต้องให้เจ้าหญิงจูบถอนคำสาปแทน แม่มดที่กินแอ๊ปเปิ้ลตาย แทนที่จะเป็นสโนไวน์ ต้องยอมรับว่าเขาเอานิทานเก่ามาบิดเรื่องได้น่าติดตามจนผมออกจากโรงแล้วมาคิดเอาว่าเอเนื้อเรื่องเก่าๆ ที่เคยรู้มามันเป็นยังไงหว่า
ทิ้งท้ายซักติ๊ด ใครยังไม่ได้ดูก็ลองดูนะครับ ฉากจบเล่นเอาฮาเหมือนกันนึกว่าดูหนังอินเดีย ที่นางเอกของเราร้องเพลงซะงั้นดีที่ไม่วิ่งข้ามภูเขา แต่ก็ดูน่ารักไปอีกแบบ จะได้เจอเจ้าชายที่ต้องให้เจ้าหญิงจูบถอนคำสาปแทน แม่มดที่กินแอ๊ปเปิ้ลตาย แทนที่จะเป็นสโนไวน์ ต้องยอมรับว่าเขาเอานิทานเก่ามาบิดเรื่องได้น่าติดตามจนผมออกจากโรงแล้วมาคิดเอาว่าเอเนื้อเรื่องเก่าๆ ที่เคยรู้มามันเป็นยังไงหว่า
ปล.อันนี้หามาให้ครับ มารยาทดีๆ ในที่สาธารณะ
ในโรงภาพยนตร์ ควรปิดโทรศัพท์มือถือ หรือปิดเสียงโทรศัพท์ให้เป็นนิสัย และที่สำคัญ ไม่ควรคุยเสียงดัง หรือพากย์เนื้อเรื่องของหนังให้เพื่อนฟัง เพราะเป็นการเสียมารยาท และรบกวนอรรถรสในการชมภาพยนตร์ของคนข้าง ๆ ไม่ควรขบเคี้ยวอาหารเสียงดัง และไม่ควรนำอาหารกลิ่นแรง ๆ เข้าไปรับประทาน เพราะว่าเป็นการทำลายบรรยากาศของการชมภาพยนตร์อย่างมากแขน ขาก็เก็บให้เข้าที่เข้าทาง อย่าให้กระทบกับความสะดวกสบายหรือที่ทางของคนอื่น โดยเฉพาะคนข้าง ๆ และข้างหน้า ควรเข้าโรงภาพยนตร์ให้ตรงเวลา โดยเฉพาะเมื่อซื้อตั๋ว แถวกลาง ๆ เอาไว้
การพูดคุยในที่สาธารณะ ไม่ควรพูดคุยเสียงดังในที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นบนรถประจำทาง รถไฟฟ้า หรือที่ทำงานก็ตาม เพราะเป็นกิริยาที่ไม่สุภาพ เป็นการรบกวนคนรอบข้าง หรือถ้าเป็นในที่ทำงาน ก็อาจจะไปรบกวนการทำงานของเพื่อนร่วมงานได้ การกระซิบกระซาบกันในที่สาธารณะก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเช่นกัน เพราะคนอื่นอาจจะคิดว่าคุณนินทาเขาอยู่ก็ได้ จงพูดด้วยเสียงดังพอประมาณให้ได้ยินกันในวงสนทนาเท่านั้น และพูดกันแต่เรื่องที่จำเป็น อย่าพูดมาก สนุกเฮฮาจนเสียกิริยาหรือพูดเรื่องส่วนตัวจนคนอื่นได้ยินได้ฟังกันทั่ว
ข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/varticle/39575
Mirror, Mirror On The Wall....ชอบคำนี้ในหนังจัง ส่วนเพลงจบตอนท้าย คิดได้ไงเนี่ย
ตอบลบ