วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ตัวกู - ของกู ที่แหวกหลักท่านพระพุทธธาตุ ภิกขุ

    ที่จริงหลายวันนี้ก็ว่าจะเขียนบทความใหม่ทุกวันแต่ที่หายไปก็ไม่ได้ไม่อยากเขียนแต่ Net ที่บ้านมันไม่ติด ทั้งที่เจอกับเหตุการณ์ไรสำนึกของคนไร้มารยาท ซึ่งถ้าจะพูดไปก็เจอแทบทุกวัน อย่างที่บอกไปผมไม่ได้เป็นคนดีมาจากไหน ไม่เคยแกล้งเขียนให้เหมือนตัวเองไม่โดดเด่นธรรมดาทั้งที่จริงใจอยากจะเด่นอยากจะโดด ผมก็อย่างนี้ครับไม่เคยบอกว่าดีกว่าชาวบ้านแต่เป็นคนทนสันดานชาวบ้านไม่ได้ ไม่ได้เป็นคนดี แต่ก็ไม่ไร้มารยาทตามที่สถารณะ ถามว่าเคยไหม พูดแบบด้านๆ ไม่อายเลยเคยครับ มันก็เคยบ้างแต่ผมก็ยังสำนึกและมีความละอายอยู่บ้างต้องยอมรับบางทีมันเผลอไปก็มี แต่พอรู้ตัวทุกอย่างมันจะหดลงครับ (เพราะมันอาย) คนอื่นจะคิดยังไงไม่รู้แต่ผมอายโดยสันดาน

ขอขอบคุณภาพจาก http://www.fringer.org/ ครับ

    วันนี้ก็อีกแล้วครับขอระบายกันอีกครับเพราเรื่องนี้มันทำให้ผมต้องกลับมานอนคิดว่า(กูผิดเหรอวะแม่งเอ้ย) ยอมรับครับเจ็บแค้นใจอย่างมาก มันถึงต้องกลับมาตั้งหัวเรื่องว่า "ตัวกูของกูที่แหวกหลักท่านพุทธธาตุภิกษุ" บอกกันอีกตามตรงผมไม่ได้เป็นแฟนตัวยงของคำสอนท่านไม่ได้ว่าไม่ศรัทธาแต่ไม่ได้ติดตามทุกระยะ คำสอนของท่านผมว่าตรงดีแต่ถ้าให้ผมอธิบายความหมายที่ท่านกล่าวถึง ตัวกู-ของกู ผมคงไม่ไปหยิบยกมาเพราะมีให้หาอ่านกันอยู่แล้ว ผมจะอธิบายตามความคิดของผมก็คงไม่เหมาะ จะขอเรียกว่าอัตตาแล้วกัน คำนี้หละครับที่ สังคมสมัยนี้ ทำให้คนสมัยนี้ นำคำนี้มาใช้ผิด ๆ ไม่รู้ฟัง อ่าน แล้ว คิดเอาผิดทางหรือเข้าใจกันไปเองที่จริงไม่ใช่หรอกถ้าคนอ่านและศึกษา ความหมายมันไม่ใชที่กระทำกันอยู่ทุกวันนี้แน่ คงต้องบอกว่าเมื่อความเจริญเข้ามาจิตใจมนุษย์ก็มันจะถดถอยลง นั่นคือ ตัวกู-ของกู ที่ไม่ได้เป็นไปตามคำสอนของท่านพุทธธาตุภิกษุ แต่เป็น ตัวกู-ของกู ในแบบของกู คือกูจะทำ แล้วกูถูกเพราะ เรื่องของกู เป็นแบบนี้กันซะเยอะ ดังเรื่องที่มันเกิดขึ้นกับผมมันทำให้ผมถึงกับเจ๊บแค้น มันต้องใช้คำนี้จริงๆ ครับ มันเกิดขึ้นโดยที่ผมงงจนต้องคิดอยู่ซักพักถึงจะกลับเข้าบ้านได้ เพราะโดยปกติผมก็โดนเอารัดเอาเปรียบจากข้างบ้านซึ่งไร้สามัญสำนึก เอาเนื้อที่บ้านต่อเติมทำบ้านเช่าอยู่แล้ว ซึ่งมันจะไม่เกิดอะไรขึ้นเลยถ้าเขาจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ผมซึ่งไม่สามารถนำรถเข้าบ้านได้เพราะซอยเล็กๆ ที่รถยนต์ขับสวนกันไม่ได้ก็มีมอเตอร์ไซค์ของผู้เช่าอาศัยจอดขวางทางจนเดินยังลำบาก จะเข้าจะออกทีต้องบีบแตรถ้าจะพูดไปก็ต้องบอกว่ามันเป็นสันดานของทั้งเจ้าของบ้านและก็ผู้เช่าหละครับ เจ้าของบ้านเองก็ไม่เคยตักเตือนคนที่เช่าอาศัยเลยว่าอย่าเอารถจอดขวางทางนะให้เอาเข้ามาจอดในบ้าน แต่ไอ้การที่ไม่บอกกล่าวเขากับได้รับยกย่องว่าเป็นป้าที่ใจบุญ เออคนไม่ดีอย่างกู(กูนี่ผมทอดถอนในใจนะครับ)เลยต้องไปหาจอดรถนอกบ้านเพราะจะเข้าบ้านแต่ละทีต้องคอยบีบแตร เปิดประตูเรียก เข็นรถเอง และนั้นก็ทำให้เกิดเหตุการณ์ ที่ผมต้องระบายกูผิดอีกแล้วเหรอ ซึ่งมันก็เป็นปกติครับที่ผมกลับบ้านโดยต้องขับรถไปจอดเอาอีกซอยที่เขารับจอดรถ บอกได้เลยว่าบ้านผมอยู่สุดสายรถไฟฟ้าBTSสถานี่สุดท้ายเลย (ใบ้ให้เดี่ยวอยากรู้ว่าสุดท้ายฝั่งไหน) คือสายที่เพิ่งเสร็จใหม่ล่าสุดนี่หละครับ อย่างที่บอกเมื่อความเจริญเข้ามา (ซึ่งปกติมันก็เจริญอยู่แล้วหละ) ที่นั้นก็ย่อมต้องวุ่นวาย การจอดรถรอรับญาติมิตร กิ๊ก แฟน มีกันมากมายกีดขวางการจราจร รถTAXIมีต่อแถวกันยาวและก็พร้อมกับหลักคำสอน อย่างที่กล่าวไว้เป็นหัว ตัวกู-ของกู มันก็จะมีให้เห็นกันทุกวัน จอดรถขวางทางเข้าออก ปากซอยซะงั้น คนจะขับรถเข้าออกก็ติดบีบแตรก็ไม่ไป เพราะกูจะรอแฟน รอ ญาติ กูตรงนี้เดี๋ยวก็มาละ (เดี๋ยวของ...แต่มันขวางที่สาธารณะ) ต้องบอกว่ามีทุกวัน รถเมล์จะเข้าป้ายก็ไม่ได้ วุ่นวายกันไปไหมนี่ ซึ่งผมก็โดนประจำครับ จะเข้าซอยก็ต้อง ตบไฟ บีบแตร จนถึงไปเคาะกระจกบอก ซึ่งบางที่สายตาที่มองมา มันเหยียดหยามกันแบบเห็นจะจะ (คือผมผิดเหรอนี่มันทางเข้าออกสาธารณะครับคุณจอดขวางอยู่ (อยากถามมากครับมารยาทแบบนี้ใครสอนมา) ทั้งหมดเป็นเรื่องซึ่งเจอทุกวันอดกลั้นทุกวัน แล้วยังไงครับ เข้าเรื่อง ก่อนจะถึงซอยที่เราจะเลี้ยวเข้าตามมารยาทและกฏจราจร ก็ย่อมต้องตีไฟเลี้ยว แน่นอนครับผมต้องทำอยู่แล้วเปิดมาตั้งแต่ 300-500 ให้รู้กันไปเลยว่าขอสัญญาณแล้วนะครับจะเข้า วันเกิดเรื่องผมก็ทำแบบที่ทำประจำคือตีไฟเลี้ยวซ้าย ดูกระจกข้างว่าไม่มีรถคันไหนจะออก ครับ ถึงหน้าซอยแล้ว จินตนาการตามกันนิดนะครับ หักรถให้ผ่านคันที่จอดก่อนถึงซอย ปั๊บ เสียงตะโกนมาครับ เฮ้ย แล้วก็มองหน้าผมแบบ มึงนี่เอี้ยอะไรก็ขับมอเตอร์ไซค์จะออกนี่มึงอะไรของมึง อ้าวมาจากไหน แสดงว่าพี่รอรับ ญาติพี่เสร็จปุ๊บก็ขับ ปาดจะออกขวาเลย แล้วผมตีไฟเลี้ยวมานานหักรถจะเข้าซอยนี่ก็ไม่ได้เร็วแล้วนะ ผมผิด ผิดมากไหม ที่ไม่ให้ มึงออก หยุดครับไม่ต้องจินตนาการต่อ เมื่อเขาสั่งสอนผมในหลัก ตัวกู-ของกู แล้วซึ่งผมหยุดรถแล้วเขาก็ไปแล้วครับ นี่หละครับ พฤติกรรมมารยาม ของคนสมัยนี้ ตัวกู-ของกู จะออกตอนไหนก็ได้มึงหละผิด ผมอยากจะตะโกนดังๆ ครับ แม่ง....จริงๆ

ภาพตอนกลางวันที่รถยังไม่หนาแน่นก็พอจะรับได้แต่ก็ถือว่าไม่สมควร(แต่ว่าตัวกู-ของกู) จะจอด

   ปล. ใครที่อ่านเรื่องนี้ Blog นี้แล้วคิดกลับในแง่ว่าผมผิดหรือยังไงผมขับรถไม่ดีเอง ผมไม่มองเอง ก็ต้องขอความกรุณาครับไม่เป็นไรตามสบายครับผมคงไม่สามารถอธิบายได้แต่ เมื่อใดท่านเจอเหตุการณ์แบบนี้แล้วก็ด่าตัวเองเลยนะครับ ไม่ก็ลองนึกว่าถ้าไปบอกใครแล้วเขาว่าท่านผิดก็อย่าบ่น ขอให้โชคดี

ขอขอบคุณภาพจาก http://english7letter.blogspot.com/ ครับ

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมื่อเกริ่นไปแล้วก็มากล่าว

    ครับบทความแรก (มันเรียกแบบนั้นใช่ไหม) ใครที่เข้ามาอ่านผมก็ขอบคุณมากครับ กับเนื้อความที่เรียกได้ว่าระบายซึ่งมันเป็นการเปิดประเด็นและก็Blogแรกของผม ก็คงต้องเข้ามาอัพหน่อยเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ (ทีแรกกะจะเข้ามาแก้ไขบทความเดิมก็เพื่อให้มันมีอะไรเพิ่มก็เขียนใหม่ซะเลย) ที่เกริ่นไปคือการระบาย ก็มาถึงว่าทำไมครับ ทำไมผมต้องเขียน อย่างที่บอกสังคมตอนนี้ของเรามันเกิดสิ่งที่เรียกว่าความไร้มารยาทเป็นพฤติกรรมประจำวันและประจำตัวของใครหลายๆคน สิ่งที่ผมเจอ กับการที่ทุกวันต้องออกไปนู้นไปนั้นทั้งวัน มันก็ต้องมีหงุดหงิดบ้าง และบางที่ก็เกิดความเบื่อหน่ายกันนาทีต่อนาที ซึ่งถามว่าผมเป็นคนดีเหรอ ป่าวครับ แค่ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเห็นอะไรแบบนี้ ใครจะว่าผม อะไรก็ช่างแต่ผมรับไม่ได้ โดยที่การรับไม่ได้ของผมก็ถูกเก็บไว้มานานจนถึงวันทีต้องโวยวายบ้างแล้วครับ เพราะคนบางคน คนบางท่านใช้ให้อาการโวยวายซึ่งความจริงเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีทำให้ตัวเองดูเป็นคนสำคัญได้ (อาจเพราะบางทีเขาสำคัญกับหลายคนมั้งแต่ไม่ใช่ผม) หลายครั้งครับที่ผมดูรายการต่าง ๆ ผมอยากไปออกรายการเหล่านั้นครับ อยากให้เสียงของผมที่ออกมากับเวลาเพียงแค่ 10 - 15 นาทีผมก็เอานะ (จะน้อยกว่านั้นก็ได้ขอให้ได้พูดบ้าง)ก้องกังวานเข้าไปกระทบสันดอนของใครบางคนและหลายๆคน อาจ ปลุกจิตที่มีมารยาทหลายๆ จิตสำนึก ให้ตระหนักว่ามันคือสิ่งที่ต้องอยู่กับสังคมไทย แต่หลายปีที่ผ่านมาผมก็ได้แต่ คิดแล้วผ่านไป ซึ่งจะให้ผมทำยังไงหละครับ ติดต่อรายการขอออกไปพูดจัดรายการเองซะเลย หรืออะไรหลายๆ อย่างอยากครับ แต่ ทำยังไงหละ จนถึง เมื่อวานนี่หละครับที่มันถึงจุดสิ้นสุดกับการไม่มีมารยาทของใครบางคนที่ทำให้ตัวเองเป็นคนมีชื่อเสียงได้ (เฉพาะกลุ่ม) ขอชมครับคุณทำมันได้ คุณเป็นที่รู้จักแล้ว แต่คุณทรามครับ วิธีการของคุณที่ทำให้คนศรัทธาและรู้จักเคราพนับถือ มันทำให้ผม ทราบถึงวิธีการที่จะทำมัน และก็เริ่มลงมือทำนั่นก็คือการทำ blog กว่าจะเข้าใจ ก็เกือบจะไก่ขันกันเลยทีเดียว แต่มันก็ต้องทำครับถึงเวลาแล้ว เข้าเรื่องหรือยังผมชักฝอยหละ เอาครับนั้นเป็นเพราะว่าเมื่อวาน คึอวันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เป็นวันที่ผมต้องเข้าร่วมสัมมนาที่มีการจัดขึ้นของสถานที่สาธารณะที่เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียง ซึ่งความจริงผมก็ไม่ได้ถูกเชิญให้เข้าร่วม แต่เป็นการไปเข้าร่วมเพราะต้องการเพิ่มรอยหยักในสมองมั้ง ไม่งั้นมันมาขึ้นที่หน้าแห่งเดียว ครับผมมันแค่คนอาศัยเข้าไปขอความรู้ ซึ่งการสัมมนามันก็ต้องมี พิธีกร ที่ผมอยากฟังเขาพูดและไม่อยากฟัง ซึ่งแน่นอนครับ มันมีตารางเวลา และก็แน่นอน เวลามันต้องไม่ตรงตามที่กำหนด ซึ่งมันก็ไม่ใช่ปัญหาครับ ผมไปฟรีผมรับได้ และมันก็ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่ พิธีกรท่านที่เรารอฟัง และท่านที่เราไม่อยากฟัง และเวลานี้ที่ทำให้ผมอึ้งคือท่านพิธีกรที่กำลังบรรยาย (หรือที่เราเรียกว่าพูด) อยู่บนเวทีตอนนี้ผมบอกตามตรงผมไม่อยากฟังครับ (คือผมไม่ได้สนใจหัวข้อที่เขากำลังบรรยายอยู่) และผมว่าหลายๆท่านที่นั่งอยู่ในห้องก็ไม่อยากฟัง

ผมของตั้งเป็นคำถามครับว่า
    มารยาทปกติที่คนทั่วไปที่ควรประพฤติในการสัมมนามีอะไรบางครับ ผมไม่ทราบว่ามีใครมีหนังสือไหม แต่ผมไม่มีครับ ผมไม่สนใจในตำราครับ ผมไม่ใส่ใจ ทฤษฎี ครับเพราะผมไม่ได้เรียนแล้ว ผมแค่ใส่ใจในมารยาท ที่มีในการเข้าสังคมตอนนั้นมากกว่า ครับออกนอกคำถามไปอีกละ เอาสั้นๆ ไม่ควรส่งเสียงดัง ก่อนกวนท่านอื่นช่ายไหมครับ เพราะเราไม่อยากฟังคนอื่น......เขาอาจอยากฟัง อย่างน้อยครับ ให้เกียรติพิธีกรเขาก็พอครับ จะหาอะไรอ่าน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไม่รบกวนบุคคลอื่น ผมว่าก็โอแล้วนะครับสำหรับคนฟัง ส่วนถ้าเกิดอาการต้องเอาของเสียออกจากร่างกาย ก็ไปเอาออกได้ครับไม่มีใครประนามกันแน่ๆ แต่ไอ้สิ่งที่ผมเจอครับ มันคือการประพฤติที่แย่มาก กับการ ลุกขึ้นไปทาน Coffee Break กันแบบตามใจสันดอนตัวเองเลยครับ ซึ่ง เออ ผมหยิบตารางเวลามาดู มันต้อง หลังจากพิธีกร วิทยากร ท่านนี้ พูดจบไม่ใช่เหรอ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นในตอนนั้นคือพฤติกรรมกลุ่มซึ่งมีคนทำให้มันเกิดขึ้น ก็ซึ่งคือคนที่ทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงในกลุ่มของเขา ประพฤติคือการแสดงถึงความมีอภิทธิ์ของกลุ่มของเขา สายตามของผมมองกวาดไปมาทั่วห้องกับเหตุการที่เกิดขึ้นคือ คนเริ่มลุก ไปหยิบน้ำ อาหารว่าง กันทีละคน สองคน แล้วก็ วน กินน้ำ กินอาหารว่าง ทั้งๆที่ ยังมีพิธีกรพูดอยู่เลยครับ เออ แล้วเข้าฟังสัมมนากันไม่ดูตารางเวลาเหรอครับ หรือว่า เออ ผมโง่ครับที่ไม่ทำแต่ที่ผมรู้ครับผมทนไม่ได้เล้ว นั่นหละครับมันถึงเกิด Blog นี้ขึ้นมาซึ่งอยากถามว่ามารยาทของคนในสังคมเราตอนนี้หายไปไหนครับ แน่นอนครับผมบอกจากใจผมก็เบื่อพิธีกร(วิทยากร)ที่กำลังพูดๆอยู่ เหมือกันครับแต่ผมก็ไม่ได้แสดงสันดอนอะไรแบบที่ผมระบายให้ฟังนี่ครับ ผมก็นั่งขีด ๆ เขียนๆ อะไรไปเรื่อย แล้วไม่ต้องมากวนผมว่าที่ผมบ่นเพราะกลัว ไม่ได้ทานอาหารตอน Break แล้วมาบ่นนะครับ เพราะผมต้องมาฟังการสัมมนาฟรี ไม่ได้ต้องการมากินฟรี...........ที่มันสุดทนคือไอ้คนที่มันนำมันคือคนที่มีคนมายกมือไหว้แล้วเรียกว่าอาจารย์ ซึ่งมันมาพร้อมกับบุคคลที่ทำให้ตัวเองมีชื่อเสียง เข้าใจว่ามีเชื่อเสียงทั้งคู่ เป็นคนดัง มีคนรู้จัก มีคนเชิดชู (ต้องย้ำครับในหมู่ของเขา) ทั้งสองคนก็เลยมีอภิสิทธิ์ แสดงมารยาทแบบของเขาออกมา........

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ในเมื่อทนกับพฤติกรรมของคนในสังคมปัจจุบันไม่ได้ก็คงต้องบอกกล่าว

    นี่ก็เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับผมซึ่งขอบอกตามตรงเลยมันไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดเลยกับการทำอะไร  บนเว็บหรือใน Internet โลกแห่งสังคมออนไลน์ แต่เมื่อมันถึงคราวที่ต้องออกเสียงหรือแสดงความคิดเห็นอะไรบ้างก็คงต้องหาทางทำอะไรที่ไม่ใช่เป็นแค่เพียงเสียงที่ก้องอยู่ในหู กังวานอยู่ในใจ มันก็คงต้องเริ่มอะไรใหม่ๆ ซึ่งก็แปลกดีทำให้ผมได้เริ่มเขียนมัน รู้จักมัน Blog ซึ่งถ้าอ่านแล้วผมก็จะเข้าใจว่ามันไม่น่าจะเป็นอะไรที่ทำอะไรให้ผมไม่ได้เลย การบล๊อคมัน มันก็น่าจะคือการจำกัดปิดกั้นไม่ใช่เหรอ แต่ก็เอาเถอะในเมื่อบางคนหรือใครหลายๆ คนใช้มันเป็นเครื่องมือบางสิ่งบางอย่างได้ ผมก็คงจะทำมันได้เช่นกัน.....มั้ง