ครับบทความแรก (มันเรียกแบบนั้นใช่ไหม) ใครที่เข้ามาอ่านผมก็ขอบคุณมากครับ กับเนื้อความที่เรียกได้ว่าระบายซึ่งมันเป็นการเปิดประเด็นและก็Blogแรกของผม ก็คงต้องเข้ามาอัพหน่อยเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ (ทีแรกกะจะเข้ามาแก้ไขบทความเดิมก็เพื่อให้มันมีอะไรเพิ่มก็เขียนใหม่ซะเลย) ที่เกริ่นไปคือการระบาย ก็มาถึงว่าทำไมครับ ทำไมผมต้องเขียน อย่างที่บอกสังคมตอนนี้ของเรามันเกิดสิ่งที่เรียกว่าความไร้มารยาทเป็นพฤติกรรมประจำวันและประจำตัวของใครหลายๆคน สิ่งที่ผมเจอ กับการที่ทุกวันต้องออกไปนู้นไปนั้นทั้งวัน มันก็ต้องมีหงุดหงิดบ้าง และบางที่ก็เกิดความเบื่อหน่ายกันนาทีต่อนาที ซึ่งถามว่าผมเป็นคนดีเหรอ ป่าวครับ แค่ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเห็นอะไรแบบนี้ ใครจะว่าผม อะไรก็ช่างแต่ผมรับไม่ได้ โดยที่การรับไม่ได้ของผมก็ถูกเก็บไว้มานานจนถึงวันทีต้องโวยวายบ้างแล้วครับ เพราะคนบางคน คนบางท่านใช้ให้อาการโวยวายซึ่งความจริงเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีทำให้ตัวเองดูเป็นคนสำคัญได้ (อาจเพราะบางทีเขาสำคัญกับหลายคนมั้งแต่ไม่ใช่ผม) หลายครั้งครับที่ผมดูรายการต่าง ๆ ผมอยากไปออกรายการเหล่านั้นครับ อยากให้เสียงของผมที่ออกมากับเวลาเพียงแค่ 10 - 15 นาทีผมก็เอานะ (จะน้อยกว่านั้นก็ได้ขอให้ได้พูดบ้าง)ก้องกังวานเข้าไปกระทบสันดอนของใครบางคนและหลายๆคน อาจ ปลุกจิตที่มีมารยาทหลายๆ จิตสำนึก ให้ตระหนักว่ามันคือสิ่งที่ต้องอยู่กับสังคมไทย แต่หลายปีที่ผ่านมาผมก็ได้แต่ คิดแล้วผ่านไป ซึ่งจะให้ผมทำยังไงหละครับ ติดต่อรายการขอออกไปพูดจัดรายการเองซะเลย หรืออะไรหลายๆ อย่างอยากครับ แต่ ทำยังไงหละ จนถึง เมื่อวานนี่หละครับที่มันถึงจุดสิ้นสุดกับการไม่มีมารยาทของใครบางคนที่ทำให้ตัวเองเป็นคนมีชื่อเสียงได้ (เฉพาะกลุ่ม) ขอชมครับคุณทำมันได้ คุณเป็นที่รู้จักแล้ว แต่คุณทรามครับ วิธีการของคุณที่ทำให้คนศรัทธาและรู้จักเคราพนับถือ มันทำให้ผม ทราบถึงวิธีการที่จะทำมัน และก็เริ่มลงมือทำนั่นก็คือการทำ blog กว่าจะเข้าใจ ก็เกือบจะไก่ขันกันเลยทีเดียว แต่มันก็ต้องทำครับถึงเวลาแล้ว เข้าเรื่องหรือยังผมชักฝอยหละ เอาครับนั้นเป็นเพราะว่าเมื่อวาน คึอวันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เป็นวันที่ผมต้องเข้าร่วมสัมมนาที่มีการจัดขึ้นของสถานที่สาธารณะที่เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียง ซึ่งความจริงผมก็ไม่ได้ถูกเชิญให้เข้าร่วม แต่เป็นการไปเข้าร่วมเพราะต้องการเพิ่มรอยหยักในสมองมั้ง ไม่งั้นมันมาขึ้นที่หน้าแห่งเดียว ครับผมมันแค่คนอาศัยเข้าไปขอความรู้ ซึ่งการสัมมนามันก็ต้องมี พิธีกร ที่ผมอยากฟังเขาพูดและไม่อยากฟัง ซึ่งแน่นอนครับ มันมีตารางเวลา และก็แน่นอน เวลามันต้องไม่ตรงตามที่กำหนด ซึ่งมันก็ไม่ใช่ปัญหาครับ ผมไปฟรีผมรับได้ และมันก็ย่อมต้องมีช่วงเวลาที่ พิธีกรท่านที่เรารอฟัง และท่านที่เราไม่อยากฟัง และเวลานี้ที่ทำให้ผมอึ้งคือท่านพิธีกรที่กำลังบรรยาย (หรือที่เราเรียกว่าพูด) อยู่บนเวทีตอนนี้ผมบอกตามตรงผมไม่อยากฟังครับ (คือผมไม่ได้สนใจหัวข้อที่เขากำลังบรรยายอยู่) และผมว่าหลายๆท่านที่นั่งอยู่ในห้องก็ไม่อยากฟัง
ผมของตั้งเป็นคำถามครับว่า
มารยาทปกติที่คนทั่วไปที่ควรประพฤติในการสัมมนามีอะไรบางครับ ผมไม่ทราบว่ามีใครมีหนังสือไหม แต่ผมไม่มีครับ ผมไม่สนใจในตำราครับ ผมไม่ใส่ใจ ทฤษฎี ครับเพราะผมไม่ได้เรียนแล้ว ผมแค่ใส่ใจในมารยาท ที่มีในการเข้าสังคมตอนนั้นมากกว่า ครับออกนอกคำถามไปอีกละ เอาสั้นๆ ไม่ควรส่งเสียงดัง ก่อนกวนท่านอื่นช่ายไหมครับ เพราะเราไม่อยากฟังคนอื่น......เขาอาจอยากฟัง อย่างน้อยครับ ให้เกียรติพิธีกรเขาก็พอครับ จะหาอะไรอ่าน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ไม่รบกวนบุคคลอื่น ผมว่าก็โอแล้วนะครับสำหรับคนฟัง ส่วนถ้าเกิดอาการต้องเอาของเสียออกจากร่างกาย ก็ไปเอาออกได้ครับไม่มีใครประนามกันแน่ๆ แต่ไอ้สิ่งที่ผมเจอครับ มันคือการประพฤติที่แย่มาก กับการ ลุกขึ้นไปทาน Coffee Break กันแบบตามใจสันดอนตัวเองเลยครับ ซึ่ง เออ ผมหยิบตารางเวลามาดู มันต้อง หลังจากพิธีกร วิทยากร ท่านนี้ พูดจบไม่ใช่เหรอ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นในตอนนั้นคือพฤติกรรมกลุ่มซึ่งมีคนทำให้มันเกิดขึ้น ก็ซึ่งคือคนที่ทำให้ตัวเองมีชื่อเสียงในกลุ่มของเขา ประพฤติคือการแสดงถึงความมีอภิทธิ์ของกลุ่มของเขา สายตามของผมมองกวาดไปมาทั่วห้องกับเหตุการที่เกิดขึ้นคือ คนเริ่มลุก ไปหยิบน้ำ อาหารว่าง กันทีละคน สองคน แล้วก็ วน กินน้ำ กินอาหารว่าง ทั้งๆที่ ยังมีพิธีกรพูดอยู่เลยครับ เออ แล้วเข้าฟังสัมมนากันไม่ดูตารางเวลาเหรอครับ หรือว่า เออ ผมโง่ครับที่ไม่ทำแต่ที่ผมรู้ครับผมทนไม่ได้เล้ว นั่นหละครับมันถึงเกิด Blog นี้ขึ้นมาซึ่งอยากถามว่ามารยาทของคนในสังคมเราตอนนี้หายไปไหนครับ แน่นอนครับผมบอกจากใจผมก็เบื่อพิธีกร(วิทยากร)ที่กำลังพูดๆอยู่ เหมือกันครับแต่ผมก็ไม่ได้แสดงสันดอนอะไรแบบที่ผมระบายให้ฟังนี่ครับ ผมก็นั่งขีด ๆ เขียนๆ อะไรไปเรื่อย แล้วไม่ต้องมากวนผมว่าที่ผมบ่นเพราะกลัว ไม่ได้ทานอาหารตอน Break แล้วมาบ่นนะครับ เพราะผมต้องมาฟังการสัมมนาฟรี ไม่ได้ต้องการมากินฟรี...........ที่มันสุดทนคือไอ้คนที่มันนำมันคือคนที่มีคนมายกมือไหว้แล้วเรียกว่าอาจารย์ ซึ่งมันมาพร้อมกับบุคคลที่ทำให้ตัวเองมีชื่อเสียง เข้าใจว่ามีเชื่อเสียงทั้งคู่ เป็นคนดัง มีคนรู้จัก มีคนเชิดชู (ต้องย้ำครับในหมู่ของเขา) ทั้งสองคนก็เลยมีอภิสิทธิ์ แสดงมารยาทแบบของเขาออกมา........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น